วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552


ที่มาของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 270 ซึ่งกำหนดให้มีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาความเป็นมาของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เริ่มแรกจัดตั้งอาจแบ่งพัฒนาการของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ การจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชั่วคราว และการจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญภายหลังที่มีพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หรือการจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญถาวร

๑. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติเพื่อจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการพิจารณาตามกระบวนการตราพระราชบัญญัติ ประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยความเห็นชอบของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑/๒๕๔๑ จัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เป็นหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งที่ ๒/๒๕๔๑ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๑ และได้เปิดสำนักงานฯเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๑ สำนักงานฯตั้งอยู่ที่ ๔๙/๑ อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

๒. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญถาวร
พระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 กำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยเป็นหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญมีฐานะเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และได้บูรณะปรับปรุงอาคารบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์เพื่อใช้เป็นที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดอาคารที่ทำการถาวร ซึ่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เป็นที่ทำการจนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อิสลามสอนให้มนุษย์มีชีวิตสะอาดอย่างไร ?
ประการแรก อิสลามได้ย้ำเรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณและความ สะอาดของร่างกาย และประการที่สองคือการบริหารร่างกายที่เหมาะสม หลักการอิสลาม หนึ่งในห้าประการคือการละหมาดห้าเวลาในแต่ละวันนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ วิทยา ศาสตร์อาจจะเน้นเรื่องของอนามัย แต่จะไม่ใส่ใจต่อความสำคัญของการปลูกฝังธรรม ชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ หากจะเปรียบไปก็เหมือนกันการเน้นการศึกษาเรื่องวัตถุนิยม และจิตนิยม ความจริงแล้ว จิตนิยมและวัฒนธรรมของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั้นเป็นศาสตร์ และปรัชญาสองวิชาที่ถูกทอดทิ้งไปในช่วงระยะหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าพูดว่าทิ้งช่วงไประยะหนึ่ง ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่ออย่างจริงใจว่ามันจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกและจะมีความสำคัญต่อไป ในอนาคตโดยการประดิษฐ์คิดค้นของวิทยาศาสตร์ วิชาอนามัยเป็นเรื่องภายนอกและเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่เรื่องวัฒนธรรมของธรรม ชาติภายในนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวข้องทั่วร่างกายและจิตวิญญาณ อิสลามยอมรับและไม่ทำลายความรู้สึก เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ๆ อิสลามได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะและ คุณธรรมอันดีงาม อิสลามถือว่ามนุษย์เกิดมาบริสุทธิ์ เม่งจื๊อก็เช่นเดียวกับอิสลามที่ถือว่า ความดีและความชั่วจะได้รับการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความแตกต่างระหว่างสอง ความคิดนี้ก็คืออิสลามสอนให้รู้ถึงวิธีการที่จะได้รับความดีงามและหลีกเลี่ยงนิสัยที่เลวทราม เพราะทั้งความดีและความชั่วจะเติบโตในมนุษย์ตามการศึกษาและสภาพแวดล้อมในชีวิต ประจำวันของเขา
มนุษย์มีความต้องการตามธรรมชาติ เช่น ต้องการอาหารการหลับนอน การสืบพันธุ์ อยู่ในตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขามีความรู้สึกตามธรรมชาติอย่างอื่น เช่นความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความรัก ความกลัว ความหิว ความปรารถนาและอื่น ๆ
ความปรารถนาเกิดขึ้นจากสัญชาติญาณแห่งการเป็นเจ้าของ ความไม่พอใจในการ เป็นเจ้าของจะก่อให้เกิดอาการอิจฉาและในที่สุดก็กลายเป็นความริษยาและความโลภ อย่างไรก็ตามอิสลามก็ไม่ได้แนะนำให้ทำลายความรู้สึกเหล่านี้ แต่อิสลามได้เสนอวิธีการควบคุมมันไว้ให้แก่มนุษย์ เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกเช่นนั้จะเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ความจริงแล้ว ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือน กับเครื่องยนต์ของยานพาหนะ มันขึ้นอยู่กับคนขับต่างหากที่จะควบคุมมันและนำมันไปสู่ จุดหมายที่เป็นประโยชน์
การเลือกอาหาร

การห้ามกินเนื้อหมูในอิสลามเป็นขั้นตอนหนึ่งในการศึกษาทางวัตถุนิยมและนำไปสู่ การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความจำเป็นสำหรับการมีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์โดยอัตโนมัติ ในฐานะที่เลือดโดยแท้จริงแล้วคือชีวิตของเราและสิ่งใดที่เราบริโภคเข้าไปนั้นจะมีผลต่อระบบ เลือดของเราในที่สุด ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องรู้จักเลือกอาหารและเครื่องดื่ม เป็น ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่ายิ่งมนุษย์มีอารยธรรมมากเท่าใด มนุษย์ก็จะยิ่งรู้จักเลือกอาหาร มากยิ่งขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เรายังรู้อีกว่าคนไร้อารยธรรมแห่งแอฟริกาในในอดีตนั้น เป็นชนเผ่าที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร ชนพื้นเมืองในมลายูและชาวเขาบางพวกใน บอร์เนียวไม่รู้จักการเลือกอาหารการกิน คนพวกนี้จะกินงู หนอน หนูและอะไรก็ตามที่พวกเขา จับได้ พวกจัณฑาลในอินเดียก็ไม่รู้จักเลือกอาหาร แต่พอมีวัฒนธรรมสูงขึ้นก็จึงเริ่มรู้จักเลือก กินอาหารและลดปมด้อยลงไป
การพัฒนาไปสู่สภาพอันบริสุทธิ์ในความเป็นมนุษย์นั้นมิได้อยู่ที่การละเว้นจากการกิน เนื้อหมู การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายเนื่องจากการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย แพะ แกะหรือสัตว์ปีกก็เป็นที่ต้องห้ามในอิสลามเช่นกัน เราไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์จะทำการ ศึกษาเรื่องเนื้อหรือเลือดของสัตว์ที่ตายเพราะการต่อสู้หรือเปล่า แต่เรามุสลิมถูกสอนมิให้กิน เนื้อของสัตว์แหล่านั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นและจากหลักการอิสลามแล้วมุสลิมจะไม่กินเนื้อของสัตว์ที่ ล่าสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารอีก เช่น สิงโต เสือ งู แมว สุนัข หนู เป็นต้น ข้อห้ามเช่นนี้มีเหตุผล เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะว่าเมื่อบริโภคอาหารใด ๆ เข้าไป อาหารไม่เพียงแต่จะเข้าไปในลำไส้และกลายเป็นของเสียที่ร่างกายขับถ่ายออกมาเท่านั้น แต่มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบเลือดและหมุนเวียน เข้าไปยังทุกส่วนของร่างกายรวมทั้ง สมองด้วย และนี่เองที่ทำให้มันมีผลต่อธรรมชาติของมนุษย์ อิสลามอนุญาตให้มุสลิมกินเนื้อที่สะอาด อิสลามมิได้ห้ามและก็มิได้สนับสนุนใครให้ เป็นมังสวิรัต (ผู้ทีไม่กินเนื้อสัตว์) แต่อย่างไรก็ตาม ในการกินเนื้อสัตว์นั้น มุสลิมจะต้องรู้จัก เลือก บางคนอาจโต้แย้งว่า "หมูสมัยใหม่" ได้รับอาหารทีสะอาดดังนั้นเนื้อของมันก็น่าที่จะ บริโภคได้คำตอบสำหรับคำโต้แย้งนี้ก็คือคุณอาจจะให้อาหารที่สะอาดแก่หมู แต่คุณก็ไม่ สามารถที่เปลี่ยนธรรมชาติของหมูได้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ หมู่ก็ยังเป็นหมูอยู่วันยังค่ำ หมูมิใช่ พืช คุณมิอาจจะเปลี่ยนธรรมชาติของมันโดยการทาบกิ่งหรือต่อตา
ธรรมชาติของหมู

โดยธรรมชาติแล้ว หมูมีนิสัยขี้เกียจและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์ มันไม่ชอบ แสงอาทิตย์และเป็นสัตว์ขี้กลัว ยิ่งมีอายุมากมันจะยิ่งขี้เกียจมาก หมูจะกินแทบทุกสิ่ง ที่อยู่ข้างหน้ามันไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกโสโครกเพียงใด มันจะชอบที่สกปรกมากกว่าที่ สะอาด ชอบที่จะกินและนอนโดยไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนมีนิสัยตะกละ ในบรรดาสัตว์ ทั้งหมด หมูจะเป็นแหล่งของตัวพยาธิที่เป็นพิษแหล่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นเนื้อหมูจึงเป็นพาหะ ของโรคหลายอย่างมายังมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้เอง เนื้อหมูจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาบริโภค ความเห็นของนายแพทย์จีนและนายแพทย์ชาติอื่นทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยว กับเนื้อหม เมื่อพูดถึงเรื่องนิสัยการกินที่สะอาด ข้าพเจ้าขออนุญาตแนะนำความเห็นและ บทสรุปทางการแพทย์และบทสรุปของคนจีนและนักเขียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ผู้อ่าน ได้รู้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบถึงเรื่องการห้ามมุสลิมกินหมู นิตยสารอายุวัฒนะของจีนที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งชื่อ "หยันโฉวตัน" กล่าวว่า : "เมื่อใกล้ตายความกลัวจะเข้าไปยังหัวใจของหมูและลมหายใจสุดท้ายของสัตว์จะเข้า ไปยังน้ำดี เนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นอาหารบำรุงกำลังยกเว้นเนื้อหมู จงอย่ากินมัน"
จะเห็นว่ามีการอ้างถึงความกลัวและลมหายใสุดท้ายของสัตว์ที่เข้าไปยังหัวใจ และน้ำดีของมันซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันจะ ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสำหรับการสรุปแบบห้วน ๆ นี้
ในสมัยราชวงศ์ถัง มีหมอคนหนึ่งชื่อ ซุนซีเหมา เคยถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใคร ๆ อยากจะเป็นกันแต่ท่านกลับปฏิเสธ หมอผู้นี้มีอายุยืนถึง 100 ปี และ เป็นนักอนามัยผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "เฉเฉนลู" (บันทึกแห่งสุขภาพ) ว่า :- "เนื้อหมูอาจทำให้การป่วยไข้เก่า ๆ กลับคืนมาอีก มันนำไปสู่การเป็นหมัน โรคไขข้อ กระดูกอักเสบ และโรคหืด" หมอผู้นี้ได้ชี้ให้เห็นโรคอย่างน้อยทีสุดสามโรคและยังกล่าวถึงแนวโน้วของเนื้อหม ูที่จะเป็นสาเหตุทำให้โรคเก่ากลับมาอีก การค้นพบของท่านได้รับการยืนยันโดยนักวิทยา ศาสตร์ในปัจจุบันแล้ว หมอมีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งแห่งราชวงศ์หมิง ชื่อ หลีชีเฉน (ซึ่งเป็นซินแสด้านยา และเขียนตำราไว้กว่า 50 เล่ม) ได้ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยา ได้กล่าวเกี่ยวกับเนื้อหมูไว้ว่า :- "หมูทางตอนใต้มีกลิ่นฉุนและมีน้ำมันเข้มข้น มันมีพิษภัยที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย" ถ้าหากไม่มีความเชื่อมั่นหลังจากการศึกษาอย่างหนักเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและสิ่งที่กิน ได้นับพันชนิด หมอผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลีชีเฉนก็คงไม่กล้าพูดว่าเนื้อหมูโดยทั่วไปเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ความเห็นและข้อสรุปทางการแพทย์เหล่านี้ถูกอ้างมาจากหนังสือเรื่อง "พิธีกรรมในอิสลาม" (The Rites in Islam) ซึ่งเขียนโดย เชค หวางไต้ยู่ นักการแพทย์สมัยใหม่ชื่อ ฉือฮุนหยู ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "ปัญหาของการกินเนื้อสัตว์ เป็นอาหาร" (The Problem of Carnivorousness) ของเขาว่าการกินเนื้อหมูเป็น สาเหตุทำให้เกิดความจำเสื่อมและผมร่วง วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้พบว่า เนื้อหมูเป็น สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ศีรษะล้านและความจำเสื่อม ซึ่งโรคทั้งสองนี้เป็นที่หวั่นกลัวของ คนหนุ่มและคนแก่คำพูดเช่นนี้สนับสนุนคำพูดเกี่ยวกับเรื่องหมูของคนในยุคโบราณโดย ทางอ้อม
โดยปกติเรามักจะเห็นคนขายหมูมีรูปร่างอ้วนฉุ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายถึงการ มีสุขภาพดีเสมอไป บางทีมันอาจจะเป็นของการติดต่อสัมผัสกับเนื้อหมูอย่างต่อเนื่องและ เป็นโรคที่เนื้อหมูนำมาก็ได้ ดร.เกลน เชฟฟาร์ด (Fr.Glen Shephard) ได้เขียนเกี่ยว กับเรื่องอันตรายของการกินเนื้อหมูไว้ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 1952 ไว้ว่า "ประชาชนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 1 ใน 6 คนมีเชื้อจุลินทรีย์ในกล้าม เนื้อ-ทริโคโนซีส-จากการกินเนื้อหมูที่มีเชื้อพยาธิทริคินาหลายคนติดเชื้อโรค แต่ไม่มีอาการ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้จะฟื้นจากอาการป่วยช้ามาก บางคนเสียชีวิต บางคนกลายเป็นคนทุพพลภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนกินเนื้อหมูอย่างไม่ระมัดระวัง" "ไม่มีใครที่ปลอดพ้นจากเชื้อโรคนี้และก็ไม่มีวิธีการรักษา ไม่มียาปฏิชีวนะหรือยา และวัคซีนใด ๆ ที่สามารถจะมีผลต่อพยาธิมรณะตัวจิ๋วนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันการ ติดเชื้อจึงเป็นคำตอบที่แท้จริง" "พยาธิทริคินามีความยาวเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 1/8 นิ้ว และกว้างประมาณ 1/400 นิ้ว มีอายุยืนถึง 40 ปี มีสารห่อหุ้มตัวเป็นลักษณะแคปซูลกลมคล้ายลูกมะนาว อยู่ระหว่างเส้นใยกล้ามเนื้อ" "เมื่อคุณกินเนื้อที่ติดเชื้อโรคเข้าไปสารที่ห่อหุ้มพยาธินี้จะถูกย่อยแต่ตัวพยาธิที่อยู่ภาย ในจะเติบโตเต็มที่และแต่ละตัวจะออกลูกประมาณ 1500 ตัว พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปใน เลือดของคุณในเวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่คุณกินพ่อแม่ของมันเข้าไป เนื่องจาก พยาธิสามารถรุกรานเข้าไปได้ในหลายส่วนของอวัยวะ ดังนั้น อาการของโรคนี้จะเหมือน กับโรคอื่น ๆ อีก 50 โรคซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากในการวินิจฉัย" "วิธีการหมักเค็มและการรมควันธรรมดาไม่อาจที่จะฆ่าพยาธิเหล่านี้ และการ ตรวจเนื้อของรัฐบาลที่สถานที่บรรจุหีบห่อหรือที่โรงฆ่าสัตว์ก็ไม่สามารถรู้ถึงเนื้อหมูที่ ติดโรคนี้ได้" หลังจากที่อ่านถ้อยคำของ ดร.เชฟฟาร์ด แล้ว เราสามารถสันนิษฐานได้ว่า ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยที่แท้จริงแม้แต่เมื่อตอนเรากินเนือ้หมูจึงเป็นการเอา สุขภาพและชีวิตของเราเข้าไปเสี่ยงเหมือนกับการพนัน โรคที่มีสาเหตุมาจากหมูและการกินเนื้อหมู เราขอทำความเข้าใจให้กับท่านเป็นที่กระจ่างก่อนว่าเนื้อของสัตว์ทุกชนิดหรือแม้ กระทั่งผักนั้นจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่เนื้อหมูจะมีเชื้อจุลินทรีย์และ พยาธิที่มีเชื้อโรคอยู่มากที่สุด ในบรรดาเนื้อสัตว์ที่มนุษย์รู้จัก ยิ่งเราศึกษาเนื้อหมูมากขึ้น เราก็ยิ่งมีความกลัวมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคและพยาธิที่พบในเนื้อหมูและโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากมัน โรคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นโรคที่ติดต่อและระบาดได้ง่ายในขณะทีบางโรค มีความรุนแรงอาจถึงตายได้ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการ พิสูจน์เห็นถึงความถูกต้องของอิสลามมากขึ้นเท่านั้น
ชื่อพยาธิ 1. Fasciolopsis Buski (พยาธิใบไม้ลำไส้) Zlankester 1857 : Ocliver-1902) พยาธิเหล่านี้จะแผงตัวอยู่ในลำไส้เล็กของ หมู เป็นเวลานาน พยาธิเหล่านี้เมื่อออกจาก ตัวหมู ก็จะไปติดตัวทาก ซึ่งจะมาติดต่อกับ คนอีกทีหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ในเมืองจีน
2. พยาธิตัวกลมพยาธิชนิดนี้มีความยาว 9-10 นิ้ว และได้ชื่อว่า "พยาธิท่องเที่ยว"เพราะมัน สามารถเคลื่อนที่ไปได้
ชื่อของโรคที่มีสาเหตุจากพยาธิ 1. 28% ของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลเฉาฮิง (จังหวัดเฉเกียงของจีน) และ5.5% ของคนไข้อื่น ๆ ที่ไปรับ การรักษาภายนอกโรงพยาบาลได้รับการ ติดเชื้อโรคคนไข้จะมีอาการผิดปกติในเรื่อง การ ย่อยอาหารและจะเป็นโรคท้องร่วง ต่อเนื่อง ร่างกายจะบวมเนื่องจากเนื้อเยื่อ ใต้ผิวหนังพองน้ำ
2. โรคปอดอักเสบ โรคหายใจขัด โรคดีซ่าน
ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิและเชื้อโรคที่พบในเนื้อหมูหรือหนังหมูและเป็นสาเหตุของ โรคต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นคัดมาจากบทความที่เขียนโดย ดร.มุฮัมมัด ญะฟัรในหนังสืออิสลา มิครีวิว ตีพิมพ์ในลอนดอน ค.ศ. 1957 ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งข้าพเจ้าได้รับมาจากตันศรีโจฮารี ดาวุด ผู้อำนวยการหน่วยบริการทหารผ่านศึกของมาเลเซีย ข้อมูลบางส่วนถูกนำมาจาก วารสาร "ESSentia Review on Agriculture-Veterinary" ฉบับที่ 12 เล่ม 2 (1959) ของใต้หวัน ใน ค.ศ. 1936 เมื่อผู้เขียนได้ไปเยี่ยมคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไคโร คณบดี ของคณะได้ชี้ให้ผู้เขียนดูพยาธิตัวแบนขนาดยาว 10 ฟุตในโถแก้วใหญ่ใบหนึ่งและกล่าวว่า "นี่มาจากเมืองจีน" ผู้เขียนรู้สึกไม่สบายใจต่อข้ออ้างดังกล่าวและได้พูดทักท้วงด้วยเสียง ขุ่น ๆ ว่า "ทำไมจะต้องเอ่ยถึงเมืองจีนเป็นการเฉพาะด้วย ?""จีนเป็นประเทศที่กินเนื้อหมู ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ที่มาจากหมู่มากเป็นอันดับหนึ่งด้วย เช่น Tricana Spiralis และพยาธิลำไส้ ดังนั้น ประเทศส่วนใหญ่จึงซื้อตัวอย่างเหล่านี้มาจากเมืองจีน เพราะว่า มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว"เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ผู้เขียนจึงต้องหยุดทักท้วงและยอมรับข้ออ้างอิงนั้นด้วย ความเงียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนจีนได้นำหมูป่ามาเลี้ยงประมาณ 10,000 ปีแล้วแล้วหมูก็ดูเหมือน ว่าจะติดต่อกับมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้วด้วย คำว่า "บ้าน" หรือ "ครอบครัว" ที่เขียนใน ภาษาจีนนั้นเป็นหลังคาอยู่ข้างบนและมีหมูอยู่ข้างใต้ วิถีการดำรงชีวิตเช่นเดียวกันนี้ ก็มีอยู่ในบ้านตัวเรือนยาวในซาราวัค
คนนับถือศาสนาอื่นที่ไม่กินหมู นอกเหนือจากอิสลามแล้ว ยังมีศาสนาอื่นที่ห้ามกินเนื้อหมูด้วย เช่น
1. ศาสนายูดาย ชาวยิวเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิลเก่าซึ่งมีคำสอนกล่าวไว้อย่างชัดเจน ในบทเวลวิติโก 11.7-8 ว่า "…หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่า แต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซาก ของมันมันเป็นของมลทินแก่เจ้า" ชาวยิวหลายคนยังปฏิบัติตามในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด
2. ศาสนาฮินดู ผู้นับถือศาสนาฮินดูถูกห้ามกินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ารูเรื่องนี้เมื่อตอนเดินทางไป อินเดีย คนฮินดูที่ข้าพเจ้าพบไม่สามารถบอกได้ว่าตรงไหนของคัมภีร์ที่ห้ามกินหมู คนใน วรรณะจัณฑาลของอินเดียจะไม่เลือกกินอาหาร แต่คนในวรรณะอื่นถือว่าการกินเนื้อหมูเป็น เรื่องน่าอาย ความจริงแล้ว คนฮินดูทุกคนจะเป็นนักมังสวิรัติโดยเฉพาะวรรณะพราหมณ์ อย่างไรก็ตาม นายมุฮัมมัด ดูรายได้พบบันทึกต่อไปนี้ในคัมภีร์ษุกัลเปียมของชาวฮินดู บทที่ 163 ที่กล่าวว่า "วันหนึ่งเมื่อมาณิกาวัสสะกามกราบไหว้พระศิวะแล้ว เขาก็ได้เอาเนื้อ หมูป่าที่เพิ่งล่ามาใหม่ ๆ มาถวายพระศิวะ ทันใดนั้น เขาก็เห็นเลือดซึมออกมาจากดวงตา ของรูปปั้นพระศิวะ หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกล่าวว่า "เจ้าผู้ที่กินเนื้อได้ทำบาป" นี่คือ ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าอ้างเกี่ยวกับเรื่องการกินเนื้อหมูชองชาวฮินดู เกี่ยวกับเรื่องการห้ามกินเนื้อวัวนั้น เพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนได้กล่าวว่าไม่มีคัมภีร์ ฮินดูเล่มใดที่อ้างอิงถึงเรื่องนี้ มันเป็นเพียงขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาโดยผู้คนตั้งแต่ยุคก่อน
3. ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาประจำชาติของชาวเปอร์เซียซึ่งถูกก่อตั้งโดยโซโรแอสเตอร์ ์เมื่อประมาณ 550 ปี ก่อนคริสตกาล ศาสนานี้วางพื้นฐานอยู่บนปรัชญาและความเชื่อใน อำนาจแห่งความดีและความชั่ว ศาสนานี้บางทีก็ถูกเรียกว่าศาสนาบูชาไฟ มีชาวเปอร์เซีย ประมาณ 150,000 คน ในอินเดียโดยเฉพาะในบอมเบย์ ร้านอาหารของคนพวกนี้ในบอมเบย์ จะไม่มีอาหารทีทำด้วยเนื้อหมูและเนื้อวัว
4. ศาสคริสต์นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ของคริสต์ศาสนาถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1853 โดยวิลเลียม มิลเลอร์ ผู้พยากรณ์ว่าการสิ้นสุดของโลกจะเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1843- 1845 ผู้นัถือนิกายนี้ปฎิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลบทเลวิติโกเกี่ยวกับเรื่องการห้ามกิน เนื้อหมูและมักจะมากินอาหารที่ร้านมุสลิมเพื่อความสบายใจเมื่อต้องกินอาหารนอกบ้าน นอก จากนั้นแล้ว นิกายนี้ยังห้ามดื่มชาและกาแฟด้วย
คนที่ไม่ควรกินหมู

1. ศาสนาพุทธ พุทธศาสนิกชนมีศีลที่จะต้องปฏิบัติ 5 ข้อด้วยกัน คือห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามผิดประเวณี ห้าม ลักขโมย ห้ามพูดปด และห้ามดื่มสิ่งมีนเมา ชาวพุทธที่มีความเคร่งครัดในศาสนา จะปฏิบัติศีลอีก50 หรือ 500 ข้อ แล้วแต่ระดับของความศรัทธา ขอให้เรามาพิจารณาถึงศีลข้อแรกซึ่งไม่เหมือนกับอิสลามและศาสนาคริสต์ กล่าวคือ ศาสนา พุทธจะห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิดซึ่งรวมทั้งหนู งู แมลงวัน ยุง และอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้ พุทธศาสนิกชนต้องถือมังสวิรัติ ชาวพุทธในนิกายมหายานจะไม่กินเนื้อไก่ เป็ด ปลาเนื้อวัว หรือเนื้อแพะกล่าวสั้น ๆ ก็คือเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งไข่ บางครั้งแม้แต่หัวหอม และกระเทียมก็ถูกห้ามด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวพุทธก็ไม่น่าที่จะกินเนื้อหมูด้วย อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าผู้ที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ปฏิบัติตามศีลขัอนี้ อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นที่อยู่อาศัยเช่น ธิเบต และมองโกเลียซึ่งผัก เป็นสิ่งที่หายากมาก

2. ศาสนาคริสต์ .. ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกคนไม่ควรจะกินเนื้อหมูเพราะชาวคริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์ ไบเบิลเก่าและใหม่อย่างไม่มีเงื่อนไขและในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า บทเลวิติโกก็ห้ามการ กินเนื้อหมูอย่างชัดเจน ชาวคริสเตียนบางคนอ้างว่าปัจจุบันพวกเขาเป็นชาวคริสเตียน มิใช่ยิวอีกต่อไปแล้ว แต่เราขอถาม ว่าทำไมพวกเขาถิงปฏิบัติบัญญัติสิบประการอย่างเคร่งครัด และทำไมคัมภีร์ไบเบิลเก่า และใหม่จึงถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งซึ่งเรียกกันว่าคัมภีร์ไบเบิลนอกจากนั้นแล้วคำอบรมสั่งสอน ขั้นพื้นฐานของนักบวชชาวคริสต์ก็วางพื้นฐานอยู่บนคัมภีร์ไบเบิลเก่าด้วย

ทำไมอิสลามจึงไม่ทานหมู?
คนทั่วไปมักจะสงสัยว่า "ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?" และมักจะเข้าใจว่า เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้นที่มีบทบัญญัติทางศาสนาห้ามกินหมู ทั้ง ๆ ที่ศาสนาคริสต์ ก็มีบทบัญญัติห้ามคนคริสเตียนกินเช่นกันและห้ามมาก่อนสมัยศาสดามุฮัมมัด เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ยักมีใครถามว่า
"ทำไมคัมภีร์ไบเบิลจึงห้ามกินหมู่ ?"
เมื่อบทบัญญัติห้ามกินหมูถูกประทานให้แก่มุสลิมในยุคต้น ๆ ผู้คนในยุคนั้น ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงห้ามเพราะผู้ศรัทธาในพระเจ้ายุคนั้นรู้แต่ เพียงว่าเขาเป็นมุสลิม และมุสลิมคือผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อคำสั่งของพระเจ้าโดย สิ้นเชิงดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาสิ่งใดพวกเขาก็ปฏิบัติตาม โดยไม่มีการตั้งคำ ถามว่า "ทำไม?" เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลและทรงมีเจตนาดีต่อ พวกเขา แต่เหตุผลของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าทีสติปัญญาของพวกเขาแต่เหตุผล ของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าที่สติปัญญาของพวกเขาจะหยั่งรู้ได้ ดังนั้น การปฏิบัติ ตามด้วยความศรัทธาเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขาก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับการเป็นมุสลิม
แต่เมื่อโลกวิวัฒนาการขึ้น การปฏิบัติตามศาสนาด้วยความศรัทธาทางจิตใจ เพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับมนุษย์ผู้มีวิวัฒนาการทางสติ ปัญญา มนุษย์ต้องการจะรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งของพระเจ้าเพื่อประกอบกับ ความศรัทธาของเขา ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางสติปัญญาของมนุษย์ พระองค์จึงได้ประทานความรู้ความสามารถทางสติปัญญให้แก่มนุษย์เพื่อใช้ค้นคว้า หาคำตอบและเหตุผลด้วยสติปัญญาของเขาเอง
เพื่อที่จะปฏิบัติตามคำสอนของอิสลามในเรื่องนี้ มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่ พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติและงดเว้นในสิ่งที่พระองค์ห้ามทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับความสะอาด บริสุทธิ์ทั้งทางด้านจิตวิญญาณและธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์
การละเว้นจากการกินเนิ้อหมูในอิสลามมีเหตุผลหลายประการทั้งจากทัศนะของ ศาสนาและทัศนะทางวิทยาศาสตร์
การรักษาอนามัยและการแสงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ การละเว้นจากการกินเนื้อหมูเป็นขั้นตอนหนึ่งซึ่งอิสลามกำหนดไว้เพื่อเป็นการ รักษาสุขภาพอนามัย และการได้รับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ