วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คะแนนนิยมโอบามา ดิ่งต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา / ภาพประกอบ : คมชัดลึก

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา / ภาพประกอบ : คมชัดลึก

คะแนนนิยมในตัวผู้นำสหรัฐดิ่งลงต่ำกว่าร้อยละ 50 เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีนี้

ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันล่าสุด ซึ่งจัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล พบว่าคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีบารัค โอบามา ลดลงเหลือร้อยละ 47 เท่านั้น นับเป็นครั้งแรกที่คะแนนนิยมของโอบามา ดิ่งลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 หลังจากที่เคยได้คะแนนนิยมสูงเกือบร้อยละ 70 ในช่วงที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆเมื่อต้นปีนี้

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คะแนนนิยมในตัวผู้นำสหรัฐดิ่งลงอย่างหนักมาจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่สูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นที่โต้แย้งกันอย่างกว้างขวาง รวมถึงการทำสงครามในอัฟกานิสถาน ที่เขาเพิ่งประกาศส่งทหารเข้าไปเพิ่มอีก 30,000 นาย เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

เจ้าชายวิลเลี่ยม“แจงเคยอยากเป็นตำรวจ

เจ้าชายวิลเลี่ยมแจงเคยอยากเป็นตำรวจ

เจ้าชายวิลเลี่ยมแจงเคยอยากเป็นตำรวจ

เจ้าชายวิลเลี่ยม ให้สัมภาษณ์รายการเด็กของบีบีซีว่า เคยอยากเป็นตำรวจ และทรงมีแผลเป็นแบบพ่อมดน้อยแฮรี่ พอตเตอร์ เพราะถูกหวดด้วยไม้กอล์ฟ

(19มี.ค.) เจ้าชายวิลเลี่ยม องค์รัชทายาทอันดับสองของ อังกฤษพระชนมายุ 26 ชันษา ประทานสัมภาษณ์รายการ"นิวสราวนด์" ของบรรษัทกระจายเสียงอังกฤษ หรือ BBC ซึ่งเป็นรายการโชว์สำหรับเด็กที่ออกอากาศเมื่อวันพุธ ซึ่งในช่วงหนึ่ง พระองค์ตรัสว่าสมัยที่ยังทรงพระเยาว์ เคยทรงมีพระประสงค์จะเป็นตำรวจ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้เรียนรู้ว่าอาจไม่ใช่ความคิดที่ดี

พระองค์ตรัสเล่าด้วยว่ามีครั้งหนึ่งที่ทรงต้องเสด็จไปโรงพยาบาลเพราะถูก หวดด้วยไม้กอล์ฟที่พระนลาฏ หรือหน้าผาก ทำให้เกิดแผลเป็นที่ทรงเรียกว่า"แผลเป็นของพ่อมดน้อยแฮรี่ พอตเตอร์" เพราะมีบางครั้งที่แผลเป็นเด่นชัดและมีคนสังเกตเห็น แต่เวลาปกติไม่มีใครสังเกตเห็น

เจ้าชายวิลเลี่ยมยังได้ตรัสด้วยว่า หากทรงหายพระองค์ได้เป็นเวลาหนึ่งวัน พระองค์จะเสด็จไปที่สำนักงานหนังสือพิมพ์โดยจะซ่อนพระองค์เพื่อคอยฟังทุก เรื่องที่มีผู้พูดถึงเกี่ยวกับพระองค์

อลิซ มาร์เปิ้ลส เด็กหญิงผู้เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งของโรงพยาบาล"รอแยล มาร์สเดน"ในกรุงลอนดอนเป็นผู้ทำการสัมภาษณ์ ที่พระตำหนัก" แคลแรนซ์ เฮาส์"ในกรุงลอนดอน ของเจ้าฟ้าชายชาร์ล องค์มกุฏราชกุมารอังกฤษ พระราชบิดาของเจ้าชายวิลเลี่ยม ขณะที่เจ้าชายวิลเลี่ยมทรงเป็นองค์ประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อสานต่องานของเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาผู้ล่วงลับ ผู้เคยทรงเป็นองค์ประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้มาก่อน และการประทานสัมภาษณ์ของพระองค์ในครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อช่วยทางโรงพยาบาลหาทุนช่วยแผนกคนไข้เด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เจ้าชายวิลเลี่ยม ตรัสด้วยว่า หากทรงหายพระองค์ได้เป็นเวลาหนึ่งวัน พระองค์จะเสด็จไปที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ โดยจะซ่อนพระองค์เพื่อคอยฟังทุกเรื่องที่มีผู้พูดถึงเกี่ยวกับพระองค์

เจ้าชายวิลเลี่ยม ทรงบรรทมข้างถนนที่อุณหภูมิติดลบ4องศา

เจ้าชายวิลเลี่ยม ทรงบรรทมข้างถนนที่อุณหภูมิติดลบ4องศา

เจ้าชายวิลเลี่ยม ทรงบรรทมข้างถนนที่อุณหภูมิติดลบ4องศา

เจ้าชายวิลเลี่ยม ได้ทรงบรรทมข้างถนนในค่ำคืนที่อุณหภูมิติดลบถึง4องศา เมื่อ15ธ.ค.เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความทุกข์ยากของวัยรุ่นที่ไร้ที่อยู่

สำนักพระราชวังอังกฤษเปิดเผยเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นว่า เจ้าชายวิลเลี่ยม พระโอรสพระองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ องค์มกุฏราชกุมารอังกฤษ และเป็นองค์รัชทายาทอันดับ 2 ของประเทศ ได้ทรงบรรทมข้างถนน ในค่ำคืนที่อุณหุภูมิติดลบถึง 4 องศาเซลเซียส ใต้สะพานแบล็คเฟรียร์ ในกรุงลอนดอนเมื่อ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความทุกข์ยากของวัยรุ่นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย

ผู้ที่ติดตามคอยดูแลเจ้าชายวิลเลี่ยมขณะที่ออกมาบรรทมนอกพระราชวังก็คือ เซยี โอบากิน ผู้บริหารกลุ่มเซ็นเตอร์พ้อยต์ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ดูแลเรื่องปัญหาการไร้ที่อยู่อาศัยในอังกฤษ เนื่องจากเจ้าชายวิลเลี่ยมทรงเป็นองค์อุปถัมภ์มูลนิธิแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2548 สานต่องานของพระมารดาคือเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของเซ็น เตอร์พอยต์ ตอนที่สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีสเมื่อปี 2540

ภาพที่เผยแพร่ในเว๊ปไซต์ของเซ็นเตอร์ พอยต์ แสดงให้เห็นเจ้าชายวิลเลี่ยมในกางเกงยีน กับรองเท้ากีฬา เสื้อคลุมแบบมีฮู้ดและหมวกไหมพรม ประทับยืนอยู่ถัดจากโอบากิน โดยมีถุงนอนอยู่ตรงปลายพระบาท โอบากินกล่าวว่าเจ้าชายบรรทมในถุงนอนโดยมีแผ่นลังกระดาษรองอยู่ข้างใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยเป็นเลขานุการส่วนพระองค์ชื่อ เจมี่ โลวเทอร์ พินเคอร์ตัน ผู้เคยเป็นทหารมาก่อน

โอบาคินเขียนในเว๊ปไซต์ว่า ได้พยายามเตรียมตัวอย่างระมัดระวังสุดที่จะทำได้ โดยหาที่เงียบสงบในตรอก มีถังขยะแบบมีล้อจำนวนหนึ่งบังอยู่ แต่ก็ไม่อาจป้องกันจากอากาศที่หนาวทารุณ พื้นคอนกรีตแข็งๆ หรือความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกนักค้ายา แมงดาหรือพวกก่อกวน และว่านาทีที่น่ากลัวที่สุด คือตอนที่พวกเขาสามคนเกือบถูกทับโดยรถกวาดถนนที่ไม่ทันเห็น และว่าเขาไม่เคยดีใจครั้งไหนมากเท่านี้เมื่อคืนขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ ขณะที่โฆษกพระตำหนักเซ็นต์ เจมส์บอกว่า ทั้งสามคนได้นอนน้อยมาก

เจ้าชายวิลเลี่ยมตรัสเมื่อวันอังคารว่า หลังจากเสด็จออกไปบรรทมข้างถนนแค่คืนเดียว พระองค์ก็ทรงจินตนาการไม่ออกเลยว่า เป็นอย่างไรที่จะต้องนอนข้างถนนในกรุงลอนดอนคืนแล้วคืนเล่า พระองค์ตรัสว่าความยากจน อาการป่วยทางจิต การติดยาและติดเหล้า รวมทั้งปัญหาบ้านแตกทำให้ผู้คนต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน ทรงหวังว่า การออกไปใช้ชีวิตแบบนั้น จะทำให้ทรงเข้าพระทัยปัญหาลึกซึ้งมากขึ้น และสามารถช่วยคนที่เปราะบางเหล่านี้ได้มากขึ้น

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

15ประเทศที่มีผู้ชายหล่อที่สุดในโลก

อันดับ 1 อังกฤษ
อันดับ 2 อเมริกัน
อันดับ 3 เยอรมัน
อันดับ 4 สวีเดน
อันดับ 5 กรีซ
อันดับ 6 สวีสเซอร์แลนด์
อันดับ 7 ตุรกี
อันดับ 8 อิตาลี
อันดับ 9 ไต้หวัน
อันดับ 10 บราซิล
อันดับ 11 ญี่ปุ่น
อันดับ 12 ไทย
อันดับ 13 เวเนซูเอล่า
อันดับ 14 ฮ่องกง
อันดับ 15 จีน
เกาหลีอยู่ไหนหว่า เห็นแบบนี้แล้วหันกลับมาใช้ของไทย กินของไทยกันดีกว่า(บรึ๊ย)

ต่อไปมาดูประเทศที่ผู้ชายหน้าตาดีที่สุดในเอเชีย
อันดับ 1 ไต้หวัน
อันดับ 2 ญี่ปุ่น
อันดับ 3 ไทย
อันดับ 4 ฮ่องกง
อันดับ 5 จีน
อันดับ 6 เกาหลี
อันดับ 7 เวียดนาม
อันดับ 8 ฟิลิปปินส์
อันดับ 9 สิงค์โปร์
อันดับ 10 มาเลเซีย

เกณฑ์การวัดความหน้าตาดีคือ
1.ใบหน้า โครงหน้า ได้รูป สวย สมบูรณ์
2. ดวงตาเปรียบดังอัลมอนด์
3. ผิวพรรณสวยงาม
4. จมูกโด่งเป็นแท่งสันยาวสวยงดงาม
5. รูปร่างดีสมบูรณแบบ
6. ความมีเสนห์ ดึงดูด และ รังสีออร่า ที่แปล่งประกายออกมา
7.ไม่เคยผ่านการศัลยกรรม หน้าตาดีโดยธรรมชาติ แต่กำเนิด

ไข่เจียวที่แพงที่สุดในโลก!!!!!

ไข่เจียวที่แพงที่สุดในโลก หากินได้ที่เดียวในโลก ที่ภัตตคาร Le Parker Meridien ในนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ไข่เจียวจานนี้มีชื่อในเมนูว่า " Zillion Dollar Frittata " โดยไข่เจียวจานนี้ประกอบไปด้วย

1.ไข่ปลาคาร์เวียร์ Sevruga จำนวน 10 ออนซ์
2.กุ้งล็อปสเตอร์ ( Lobster )
3.ไข่ไก่ 6 ฟอง

ราคา 35,000 บาท ต่อ จาน ( 1,000 เหรียญยูเอส )


แค่นี้แหละ ไปดูรูปกันว่าน่ากินแค่ไหน













วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กษัตริย์บรูไนทรงตัดผมครั้งละ 8 แสนบาท แพงสุดในโลก


เดลิเมล์/อนาโนวา - สุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์ ประมุขแห่งบรูไน ทรงใช้เงินในการทรงเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเงินครั้งละ 15,000 ปอนด์ (ประมาณ 847,5000 บาท) โดยจ้างให้ช่างตัดผมบินตรงมาจากกรุงลอนดอน นับว่าเป็นค่าตัดผมที่แพงที่สุดในโลก

ต้นเดือนที่ผ่านมา กษัตริย์แห่งบรูไนเช่าห้องสวีทส่วนตัวบนเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์แอร์ ไลน์ให้พาตัว เคน โมเดสทู เจ้าของร้านตัดผมจากกรุงลอนดอนบินมาตัดพระเกษาให้พระองค์ถึงพระราชวัง เมื่อเนื่องจากต้องการให้ช่างตัดผมแยกออกจากคนจำนวนมาก เพราะเกรงว่าเขาจะติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยค่าห้องพักหรูนั้นตกอยู่ที่ 11,000 ปอนด์ นอกจากนั้นยังทรงจ่ายค่าตัดผมให้เขาอีกหลายพันปอนด์ด้วย

เดลี เมล์ อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ว่า โมเดสทู นั้นเป็นเจ้าของร้านตัดผมในโรงแรมดอร์เชสเตอร์ในย่านไฮโซ เขตเมย์แฟร์ ของกรุงลอนดอน ปกติแล้วเขาคิดราคาค่าเล็มผมครั้งละ 30 ปอนด์ (1,695 บาท)

ช่างคนหนึ่งในร้านของโมเดสทู เผยว่า โมเดสทูตัดพระเกษาให้สุลต่านโบลเกียห์มาแล้ว 16 ปี บางครั้งเขาก็เดินทางมาบรูไนทุก 3 หรือ 4 สัปดาห์ ซึ่งทุกครั้งจะได้โดยสารในชั้นเฟิสต์คลาสราคา 9,000 ปอนด์ นอกจากนั้น เมื่อมาถึงบรูไนก็จะได้เข้าพักโรงแรมและรับประทานอาหารสุดหรู ส่วนค่าจ้างก็จะได้เป็นเงินสดใส่มาในซองหนา

ทั้งนี้ สุลต่านโบลเกียห์ พระชนมายุ 63 พรรษาแล้ว ทรงเป็นบุคคลที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 678,000 ล้านบาท)

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจของออสเตรเลีย


รายได้หลักของประเทศออสเตรเลีย การทำเหมืองแร่และภาคเกษตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สามารถหารายได้เข้าประเทศได้มาก ประเทศออสเตรเลียมีตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ ซึ่งทำให้ประเทศออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกขนแกะรายใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงการส่งออกสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ น้ำตาล ถ่าน และ แร่เหล็ก และส่งออกให้กับประเทศภาคพื้นเอชัย การศึกษาถือเป็นการนำรายได้เข้าประเทศออสเตรเลียได้มาก เป็นลำดับที่สามในบรรดาอุตสาหกรรมส่งออกของออสเตรเลียทั้งหมด ซึ่งทำให้การศึกษาของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศใหม่ มีคุณภาพเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ที่เคยเป็นที่นิยมของนักศึกษาต่างชาติมาก่อน ประเทศออสเตรเลียได้พยายามปรับปรุงธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการบริการ

เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์


นิวซีแลนด์ เป็นประเทศหนึ่งในเขตแปซิฟิกที่มีการทำอุตสาหกรรม เช่น การต่อเรือ โรงงานเบียร์ไวท์ โรงงานปลากระป๋อง แต่ส่วนใหญ่การอุตสาหกรรมในนิวซีแลนด์มีน้อยมาก และ มีการทำอุตสาหกรรมการเกษตร เช่นการทำผลไม้กระป๋อง อุตสาหกรรมการขุดแร่ เช่น ถ่านหิน เหล็ก อุตสาหกรรมป่าไม้ และ ยังมีการเพาะปลูกที่ทำให้นิวซีแลนด์มีรายได้มากส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ ผลไม้เช่น สตรอเบอรี่ และแอปเปิล เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สระว่ายน้ำที่มีคนมาว่ายเยอะที่สุดในโลก


สระแตก! (ข่าวสด)

ข่าวต่างแดนบอกว่า ตอนนี้อากาศในเมืองจีนร้อนตับแตกมากๆ และสงสัยว่า...

"สระว่ายน้ำ" สาธารณะในเมืองนานกิงแห่งนี้ คงทำสถิติเป็นสระที่มีคนลงไปเบียดเสียดเยียดยัดว่ายน้ำมากที่สุดในโลก

ก็ดูสิคะ..ในตัวสระแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ ถึงขนาดผู้คนต้องยืนหลังชนหลัง แค่คิดจะโชว์ลีลาดึงสโตรกก็ยังทำไม่ได้เลย!!

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552


ที่มาของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 270 ซึ่งกำหนดให้มีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาความเป็นมาของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เริ่มแรกจัดตั้งอาจแบ่งพัฒนาการของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ การจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชั่วคราว และการจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญภายหลังที่มีพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หรือการจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญถาวร

๑. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติเพื่อจัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการพิจารณาตามกระบวนการตราพระราชบัญญัติ ประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยความเห็นชอบของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑/๒๕๔๑ จัดตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เป็นหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และคำสั่งที่ ๒/๒๕๔๑ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และรองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๑ และได้เปิดสำนักงานฯเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๑ สำนักงานฯตั้งอยู่ที่ ๔๙/๑ อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

๒. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญถาวร
พระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 กำหนดให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยเป็นหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญมีฐานะเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และได้บูรณะปรับปรุงอาคารบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์เพื่อใช้เป็นที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดอาคารที่ทำการถาวร ซึ่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เป็นที่ทำการจนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อิสลามสอนให้มนุษย์มีชีวิตสะอาดอย่างไร ?
ประการแรก อิสลามได้ย้ำเรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณและความ สะอาดของร่างกาย และประการที่สองคือการบริหารร่างกายที่เหมาะสม หลักการอิสลาม หนึ่งในห้าประการคือการละหมาดห้าเวลาในแต่ละวันนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ วิทยา ศาสตร์อาจจะเน้นเรื่องของอนามัย แต่จะไม่ใส่ใจต่อความสำคัญของการปลูกฝังธรรม ชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ หากจะเปรียบไปก็เหมือนกันการเน้นการศึกษาเรื่องวัตถุนิยม และจิตนิยม ความจริงแล้ว จิตนิยมและวัฒนธรรมของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั้นเป็นศาสตร์ และปรัชญาสองวิชาที่ถูกทอดทิ้งไปในช่วงระยะหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าพูดว่าทิ้งช่วงไประยะหนึ่ง ก็เพราะข้าพเจ้าเชื่ออย่างจริงใจว่ามันจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกและจะมีความสำคัญต่อไป ในอนาคตโดยการประดิษฐ์คิดค้นของวิทยาศาสตร์ วิชาอนามัยเป็นเรื่องภายนอกและเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่เรื่องวัฒนธรรมของธรรม ชาติภายในนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวข้องทั่วร่างกายและจิตวิญญาณ อิสลามยอมรับและไม่ทำลายความรู้สึก เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ๆ อิสลามได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะและ คุณธรรมอันดีงาม อิสลามถือว่ามนุษย์เกิดมาบริสุทธิ์ เม่งจื๊อก็เช่นเดียวกับอิสลามที่ถือว่า ความดีและความชั่วจะได้รับการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความแตกต่างระหว่างสอง ความคิดนี้ก็คืออิสลามสอนให้รู้ถึงวิธีการที่จะได้รับความดีงามและหลีกเลี่ยงนิสัยที่เลวทราม เพราะทั้งความดีและความชั่วจะเติบโตในมนุษย์ตามการศึกษาและสภาพแวดล้อมในชีวิต ประจำวันของเขา
มนุษย์มีความต้องการตามธรรมชาติ เช่น ต้องการอาหารการหลับนอน การสืบพันธุ์ อยู่ในตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขามีความรู้สึกตามธรรมชาติอย่างอื่น เช่นความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความรัก ความกลัว ความหิว ความปรารถนาและอื่น ๆ
ความปรารถนาเกิดขึ้นจากสัญชาติญาณแห่งการเป็นเจ้าของ ความไม่พอใจในการ เป็นเจ้าของจะก่อให้เกิดอาการอิจฉาและในที่สุดก็กลายเป็นความริษยาและความโลภ อย่างไรก็ตามอิสลามก็ไม่ได้แนะนำให้ทำลายความรู้สึกเหล่านี้ แต่อิสลามได้เสนอวิธีการควบคุมมันไว้ให้แก่มนุษย์ เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกเช่นนั้จะเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ความจริงแล้ว ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือน กับเครื่องยนต์ของยานพาหนะ มันขึ้นอยู่กับคนขับต่างหากที่จะควบคุมมันและนำมันไปสู่ จุดหมายที่เป็นประโยชน์
การเลือกอาหาร

การห้ามกินเนื้อหมูในอิสลามเป็นขั้นตอนหนึ่งในการศึกษาทางวัตถุนิยมและนำไปสู่ การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความจำเป็นสำหรับการมีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์โดยอัตโนมัติ ในฐานะที่เลือดโดยแท้จริงแล้วคือชีวิตของเราและสิ่งใดที่เราบริโภคเข้าไปนั้นจะมีผลต่อระบบ เลือดของเราในที่สุด ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องรู้จักเลือกอาหารและเครื่องดื่ม เป็น ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่ายิ่งมนุษย์มีอารยธรรมมากเท่าใด มนุษย์ก็จะยิ่งรู้จักเลือกอาหาร มากยิ่งขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เรายังรู้อีกว่าคนไร้อารยธรรมแห่งแอฟริกาในในอดีตนั้น เป็นชนเผ่าที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร ชนพื้นเมืองในมลายูและชาวเขาบางพวกใน บอร์เนียวไม่รู้จักการเลือกอาหารการกิน คนพวกนี้จะกินงู หนอน หนูและอะไรก็ตามที่พวกเขา จับได้ พวกจัณฑาลในอินเดียก็ไม่รู้จักเลือกอาหาร แต่พอมีวัฒนธรรมสูงขึ้นก็จึงเริ่มรู้จักเลือก กินอาหารและลดปมด้อยลงไป
การพัฒนาไปสู่สภาพอันบริสุทธิ์ในความเป็นมนุษย์นั้นมิได้อยู่ที่การละเว้นจากการกิน เนื้อหมู การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายเนื่องจากการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย แพะ แกะหรือสัตว์ปีกก็เป็นที่ต้องห้ามในอิสลามเช่นกัน เราไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์จะทำการ ศึกษาเรื่องเนื้อหรือเลือดของสัตว์ที่ตายเพราะการต่อสู้หรือเปล่า แต่เรามุสลิมถูกสอนมิให้กิน เนื้อของสัตว์แหล่านั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นและจากหลักการอิสลามแล้วมุสลิมจะไม่กินเนื้อของสัตว์ที่ ล่าสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารอีก เช่น สิงโต เสือ งู แมว สุนัข หนู เป็นต้น ข้อห้ามเช่นนี้มีเหตุผล เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะว่าเมื่อบริโภคอาหารใด ๆ เข้าไป อาหารไม่เพียงแต่จะเข้าไปในลำไส้และกลายเป็นของเสียที่ร่างกายขับถ่ายออกมาเท่านั้น แต่มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบเลือดและหมุนเวียน เข้าไปยังทุกส่วนของร่างกายรวมทั้ง สมองด้วย และนี่เองที่ทำให้มันมีผลต่อธรรมชาติของมนุษย์ อิสลามอนุญาตให้มุสลิมกินเนื้อที่สะอาด อิสลามมิได้ห้ามและก็มิได้สนับสนุนใครให้ เป็นมังสวิรัต (ผู้ทีไม่กินเนื้อสัตว์) แต่อย่างไรก็ตาม ในการกินเนื้อสัตว์นั้น มุสลิมจะต้องรู้จัก เลือก บางคนอาจโต้แย้งว่า "หมูสมัยใหม่" ได้รับอาหารทีสะอาดดังนั้นเนื้อของมันก็น่าที่จะ บริโภคได้คำตอบสำหรับคำโต้แย้งนี้ก็คือคุณอาจจะให้อาหารที่สะอาดแก่หมู แต่คุณก็ไม่ สามารถที่เปลี่ยนธรรมชาติของหมูได้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ หมู่ก็ยังเป็นหมูอยู่วันยังค่ำ หมูมิใช่ พืช คุณมิอาจจะเปลี่ยนธรรมชาติของมันโดยการทาบกิ่งหรือต่อตา
ธรรมชาติของหมู

โดยธรรมชาติแล้ว หมูมีนิสัยขี้เกียจและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์ มันไม่ชอบ แสงอาทิตย์และเป็นสัตว์ขี้กลัว ยิ่งมีอายุมากมันจะยิ่งขี้เกียจมาก หมูจะกินแทบทุกสิ่ง ที่อยู่ข้างหน้ามันไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกโสโครกเพียงใด มันจะชอบที่สกปรกมากกว่าที่ สะอาด ชอบที่จะกินและนอนโดยไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนมีนิสัยตะกละ ในบรรดาสัตว์ ทั้งหมด หมูจะเป็นแหล่งของตัวพยาธิที่เป็นพิษแหล่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นเนื้อหมูจึงเป็นพาหะ ของโรคหลายอย่างมายังมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้เอง เนื้อหมูจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาบริโภค ความเห็นของนายแพทย์จีนและนายแพทย์ชาติอื่นทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยว กับเนื้อหม เมื่อพูดถึงเรื่องนิสัยการกินที่สะอาด ข้าพเจ้าขออนุญาตแนะนำความเห็นและ บทสรุปทางการแพทย์และบทสรุปของคนจีนและนักเขียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ผู้อ่าน ได้รู้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบถึงเรื่องการห้ามมุสลิมกินหมู นิตยสารอายุวัฒนะของจีนที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งชื่อ "หยันโฉวตัน" กล่าวว่า : "เมื่อใกล้ตายความกลัวจะเข้าไปยังหัวใจของหมูและลมหายใจสุดท้ายของสัตว์จะเข้า ไปยังน้ำดี เนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นอาหารบำรุงกำลังยกเว้นเนื้อหมู จงอย่ากินมัน"
จะเห็นว่ามีการอ้างถึงความกลัวและลมหายใสุดท้ายของสัตว์ที่เข้าไปยังหัวใจ และน้ำดีของมันซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันจะ ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสำหรับการสรุปแบบห้วน ๆ นี้
ในสมัยราชวงศ์ถัง มีหมอคนหนึ่งชื่อ ซุนซีเหมา เคยถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใคร ๆ อยากจะเป็นกันแต่ท่านกลับปฏิเสธ หมอผู้นี้มีอายุยืนถึง 100 ปี และ เป็นนักอนามัยผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "เฉเฉนลู" (บันทึกแห่งสุขภาพ) ว่า :- "เนื้อหมูอาจทำให้การป่วยไข้เก่า ๆ กลับคืนมาอีก มันนำไปสู่การเป็นหมัน โรคไขข้อ กระดูกอักเสบ และโรคหืด" หมอผู้นี้ได้ชี้ให้เห็นโรคอย่างน้อยทีสุดสามโรคและยังกล่าวถึงแนวโน้วของเนื้อหม ูที่จะเป็นสาเหตุทำให้โรคเก่ากลับมาอีก การค้นพบของท่านได้รับการยืนยันโดยนักวิทยา ศาสตร์ในปัจจุบันแล้ว หมอมีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งแห่งราชวงศ์หมิง ชื่อ หลีชีเฉน (ซึ่งเป็นซินแสด้านยา และเขียนตำราไว้กว่า 50 เล่ม) ได้ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยา ได้กล่าวเกี่ยวกับเนื้อหมูไว้ว่า :- "หมูทางตอนใต้มีกลิ่นฉุนและมีน้ำมันเข้มข้น มันมีพิษภัยที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย" ถ้าหากไม่มีความเชื่อมั่นหลังจากการศึกษาอย่างหนักเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและสิ่งที่กิน ได้นับพันชนิด หมอผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลีชีเฉนก็คงไม่กล้าพูดว่าเนื้อหมูโดยทั่วไปเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ความเห็นและข้อสรุปทางการแพทย์เหล่านี้ถูกอ้างมาจากหนังสือเรื่อง "พิธีกรรมในอิสลาม" (The Rites in Islam) ซึ่งเขียนโดย เชค หวางไต้ยู่ นักการแพทย์สมัยใหม่ชื่อ ฉือฮุนหยู ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "ปัญหาของการกินเนื้อสัตว์ เป็นอาหาร" (The Problem of Carnivorousness) ของเขาว่าการกินเนื้อหมูเป็น สาเหตุทำให้เกิดความจำเสื่อมและผมร่วง วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้พบว่า เนื้อหมูเป็น สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ศีรษะล้านและความจำเสื่อม ซึ่งโรคทั้งสองนี้เป็นที่หวั่นกลัวของ คนหนุ่มและคนแก่คำพูดเช่นนี้สนับสนุนคำพูดเกี่ยวกับเรื่องหมูของคนในยุคโบราณโดย ทางอ้อม
โดยปกติเรามักจะเห็นคนขายหมูมีรูปร่างอ้วนฉุ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายถึงการ มีสุขภาพดีเสมอไป บางทีมันอาจจะเป็นของการติดต่อสัมผัสกับเนื้อหมูอย่างต่อเนื่องและ เป็นโรคที่เนื้อหมูนำมาก็ได้ ดร.เกลน เชฟฟาร์ด (Fr.Glen Shephard) ได้เขียนเกี่ยว กับเรื่องอันตรายของการกินเนื้อหมูไว้ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 1952 ไว้ว่า "ประชาชนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 1 ใน 6 คนมีเชื้อจุลินทรีย์ในกล้าม เนื้อ-ทริโคโนซีส-จากการกินเนื้อหมูที่มีเชื้อพยาธิทริคินาหลายคนติดเชื้อโรค แต่ไม่มีอาการ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้จะฟื้นจากอาการป่วยช้ามาก บางคนเสียชีวิต บางคนกลายเป็นคนทุพพลภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนกินเนื้อหมูอย่างไม่ระมัดระวัง" "ไม่มีใครที่ปลอดพ้นจากเชื้อโรคนี้และก็ไม่มีวิธีการรักษา ไม่มียาปฏิชีวนะหรือยา และวัคซีนใด ๆ ที่สามารถจะมีผลต่อพยาธิมรณะตัวจิ๋วนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันการ ติดเชื้อจึงเป็นคำตอบที่แท้จริง" "พยาธิทริคินามีความยาวเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 1/8 นิ้ว และกว้างประมาณ 1/400 นิ้ว มีอายุยืนถึง 40 ปี มีสารห่อหุ้มตัวเป็นลักษณะแคปซูลกลมคล้ายลูกมะนาว อยู่ระหว่างเส้นใยกล้ามเนื้อ" "เมื่อคุณกินเนื้อที่ติดเชื้อโรคเข้าไปสารที่ห่อหุ้มพยาธินี้จะถูกย่อยแต่ตัวพยาธิที่อยู่ภาย ในจะเติบโตเต็มที่และแต่ละตัวจะออกลูกประมาณ 1500 ตัว พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปใน เลือดของคุณในเวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่คุณกินพ่อแม่ของมันเข้าไป เนื่องจาก พยาธิสามารถรุกรานเข้าไปได้ในหลายส่วนของอวัยวะ ดังนั้น อาการของโรคนี้จะเหมือน กับโรคอื่น ๆ อีก 50 โรคซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากในการวินิจฉัย" "วิธีการหมักเค็มและการรมควันธรรมดาไม่อาจที่จะฆ่าพยาธิเหล่านี้ และการ ตรวจเนื้อของรัฐบาลที่สถานที่บรรจุหีบห่อหรือที่โรงฆ่าสัตว์ก็ไม่สามารถรู้ถึงเนื้อหมูที่ ติดโรคนี้ได้" หลังจากที่อ่านถ้อยคำของ ดร.เชฟฟาร์ด แล้ว เราสามารถสันนิษฐานได้ว่า ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยที่แท้จริงแม้แต่เมื่อตอนเรากินเนือ้หมูจึงเป็นการเอา สุขภาพและชีวิตของเราเข้าไปเสี่ยงเหมือนกับการพนัน โรคที่มีสาเหตุมาจากหมูและการกินเนื้อหมู เราขอทำความเข้าใจให้กับท่านเป็นที่กระจ่างก่อนว่าเนื้อของสัตว์ทุกชนิดหรือแม้ กระทั่งผักนั้นจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่เนื้อหมูจะมีเชื้อจุลินทรีย์และ พยาธิที่มีเชื้อโรคอยู่มากที่สุด ในบรรดาเนื้อสัตว์ที่มนุษย์รู้จัก ยิ่งเราศึกษาเนื้อหมูมากขึ้น เราก็ยิ่งมีความกลัวมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคและพยาธิที่พบในเนื้อหมูและโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากมัน โรคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นโรคที่ติดต่อและระบาดได้ง่ายในขณะทีบางโรค มีความรุนแรงอาจถึงตายได้ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการ พิสูจน์เห็นถึงความถูกต้องของอิสลามมากขึ้นเท่านั้น
ชื่อพยาธิ 1. Fasciolopsis Buski (พยาธิใบไม้ลำไส้) Zlankester 1857 : Ocliver-1902) พยาธิเหล่านี้จะแผงตัวอยู่ในลำไส้เล็กของ หมู เป็นเวลานาน พยาธิเหล่านี้เมื่อออกจาก ตัวหมู ก็จะไปติดตัวทาก ซึ่งจะมาติดต่อกับ คนอีกทีหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ในเมืองจีน
2. พยาธิตัวกลมพยาธิชนิดนี้มีความยาว 9-10 นิ้ว และได้ชื่อว่า "พยาธิท่องเที่ยว"เพราะมัน สามารถเคลื่อนที่ไปได้
ชื่อของโรคที่มีสาเหตุจากพยาธิ 1. 28% ของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลเฉาฮิง (จังหวัดเฉเกียงของจีน) และ5.5% ของคนไข้อื่น ๆ ที่ไปรับ การรักษาภายนอกโรงพยาบาลได้รับการ ติดเชื้อโรคคนไข้จะมีอาการผิดปกติในเรื่อง การ ย่อยอาหารและจะเป็นโรคท้องร่วง ต่อเนื่อง ร่างกายจะบวมเนื่องจากเนื้อเยื่อ ใต้ผิวหนังพองน้ำ
2. โรคปอดอักเสบ โรคหายใจขัด โรคดีซ่าน
ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิและเชื้อโรคที่พบในเนื้อหมูหรือหนังหมูและเป็นสาเหตุของ โรคต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นคัดมาจากบทความที่เขียนโดย ดร.มุฮัมมัด ญะฟัรในหนังสืออิสลา มิครีวิว ตีพิมพ์ในลอนดอน ค.ศ. 1957 ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งข้าพเจ้าได้รับมาจากตันศรีโจฮารี ดาวุด ผู้อำนวยการหน่วยบริการทหารผ่านศึกของมาเลเซีย ข้อมูลบางส่วนถูกนำมาจาก วารสาร "ESSentia Review on Agriculture-Veterinary" ฉบับที่ 12 เล่ม 2 (1959) ของใต้หวัน ใน ค.ศ. 1936 เมื่อผู้เขียนได้ไปเยี่ยมคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไคโร คณบดี ของคณะได้ชี้ให้ผู้เขียนดูพยาธิตัวแบนขนาดยาว 10 ฟุตในโถแก้วใหญ่ใบหนึ่งและกล่าวว่า "นี่มาจากเมืองจีน" ผู้เขียนรู้สึกไม่สบายใจต่อข้ออ้างดังกล่าวและได้พูดทักท้วงด้วยเสียง ขุ่น ๆ ว่า "ทำไมจะต้องเอ่ยถึงเมืองจีนเป็นการเฉพาะด้วย ?""จีนเป็นประเทศที่กินเนื้อหมู ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ที่มาจากหมู่มากเป็นอันดับหนึ่งด้วย เช่น Tricana Spiralis และพยาธิลำไส้ ดังนั้น ประเทศส่วนใหญ่จึงซื้อตัวอย่างเหล่านี้มาจากเมืองจีน เพราะว่า มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว"เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ผู้เขียนจึงต้องหยุดทักท้วงและยอมรับข้ออ้างอิงนั้นด้วย ความเงียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนจีนได้นำหมูป่ามาเลี้ยงประมาณ 10,000 ปีแล้วแล้วหมูก็ดูเหมือน ว่าจะติดต่อกับมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้วด้วย คำว่า "บ้าน" หรือ "ครอบครัว" ที่เขียนใน ภาษาจีนนั้นเป็นหลังคาอยู่ข้างบนและมีหมูอยู่ข้างใต้ วิถีการดำรงชีวิตเช่นเดียวกันนี้ ก็มีอยู่ในบ้านตัวเรือนยาวในซาราวัค
คนนับถือศาสนาอื่นที่ไม่กินหมู นอกเหนือจากอิสลามแล้ว ยังมีศาสนาอื่นที่ห้ามกินเนื้อหมูด้วย เช่น
1. ศาสนายูดาย ชาวยิวเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิลเก่าซึ่งมีคำสอนกล่าวไว้อย่างชัดเจน ในบทเวลวิติโก 11.7-8 ว่า "…หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่า แต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซาก ของมันมันเป็นของมลทินแก่เจ้า" ชาวยิวหลายคนยังปฏิบัติตามในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด
2. ศาสนาฮินดู ผู้นับถือศาสนาฮินดูถูกห้ามกินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ารูเรื่องนี้เมื่อตอนเดินทางไป อินเดีย คนฮินดูที่ข้าพเจ้าพบไม่สามารถบอกได้ว่าตรงไหนของคัมภีร์ที่ห้ามกินหมู คนใน วรรณะจัณฑาลของอินเดียจะไม่เลือกกินอาหาร แต่คนในวรรณะอื่นถือว่าการกินเนื้อหมูเป็น เรื่องน่าอาย ความจริงแล้ว คนฮินดูทุกคนจะเป็นนักมังสวิรัติโดยเฉพาะวรรณะพราหมณ์ อย่างไรก็ตาม นายมุฮัมมัด ดูรายได้พบบันทึกต่อไปนี้ในคัมภีร์ษุกัลเปียมของชาวฮินดู บทที่ 163 ที่กล่าวว่า "วันหนึ่งเมื่อมาณิกาวัสสะกามกราบไหว้พระศิวะแล้ว เขาก็ได้เอาเนื้อ หมูป่าที่เพิ่งล่ามาใหม่ ๆ มาถวายพระศิวะ ทันใดนั้น เขาก็เห็นเลือดซึมออกมาจากดวงตา ของรูปปั้นพระศิวะ หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกล่าวว่า "เจ้าผู้ที่กินเนื้อได้ทำบาป" นี่คือ ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าอ้างเกี่ยวกับเรื่องการกินเนื้อหมูชองชาวฮินดู เกี่ยวกับเรื่องการห้ามกินเนื้อวัวนั้น เพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนได้กล่าวว่าไม่มีคัมภีร์ ฮินดูเล่มใดที่อ้างอิงถึงเรื่องนี้ มันเป็นเพียงขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาโดยผู้คนตั้งแต่ยุคก่อน
3. ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาประจำชาติของชาวเปอร์เซียซึ่งถูกก่อตั้งโดยโซโรแอสเตอร์ ์เมื่อประมาณ 550 ปี ก่อนคริสตกาล ศาสนานี้วางพื้นฐานอยู่บนปรัชญาและความเชื่อใน อำนาจแห่งความดีและความชั่ว ศาสนานี้บางทีก็ถูกเรียกว่าศาสนาบูชาไฟ มีชาวเปอร์เซีย ประมาณ 150,000 คน ในอินเดียโดยเฉพาะในบอมเบย์ ร้านอาหารของคนพวกนี้ในบอมเบย์ จะไม่มีอาหารทีทำด้วยเนื้อหมูและเนื้อวัว
4. ศาสคริสต์นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ของคริสต์ศาสนาถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1853 โดยวิลเลียม มิลเลอร์ ผู้พยากรณ์ว่าการสิ้นสุดของโลกจะเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1843- 1845 ผู้นัถือนิกายนี้ปฎิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลบทเลวิติโกเกี่ยวกับเรื่องการห้ามกิน เนื้อหมูและมักจะมากินอาหารที่ร้านมุสลิมเพื่อความสบายใจเมื่อต้องกินอาหารนอกบ้าน นอก จากนั้นแล้ว นิกายนี้ยังห้ามดื่มชาและกาแฟด้วย
คนที่ไม่ควรกินหมู

1. ศาสนาพุทธ พุทธศาสนิกชนมีศีลที่จะต้องปฏิบัติ 5 ข้อด้วยกัน คือห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามผิดประเวณี ห้าม ลักขโมย ห้ามพูดปด และห้ามดื่มสิ่งมีนเมา ชาวพุทธที่มีความเคร่งครัดในศาสนา จะปฏิบัติศีลอีก50 หรือ 500 ข้อ แล้วแต่ระดับของความศรัทธา ขอให้เรามาพิจารณาถึงศีลข้อแรกซึ่งไม่เหมือนกับอิสลามและศาสนาคริสต์ กล่าวคือ ศาสนา พุทธจะห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิดซึ่งรวมทั้งหนู งู แมลงวัน ยุง และอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้ พุทธศาสนิกชนต้องถือมังสวิรัติ ชาวพุทธในนิกายมหายานจะไม่กินเนื้อไก่ เป็ด ปลาเนื้อวัว หรือเนื้อแพะกล่าวสั้น ๆ ก็คือเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งไข่ บางครั้งแม้แต่หัวหอม และกระเทียมก็ถูกห้ามด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวพุทธก็ไม่น่าที่จะกินเนื้อหมูด้วย อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าผู้ที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ปฏิบัติตามศีลขัอนี้ อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นที่อยู่อาศัยเช่น ธิเบต และมองโกเลียซึ่งผัก เป็นสิ่งที่หายากมาก

2. ศาสนาคริสต์ .. ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกคนไม่ควรจะกินเนื้อหมูเพราะชาวคริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์ ไบเบิลเก่าและใหม่อย่างไม่มีเงื่อนไขและในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า บทเลวิติโกก็ห้ามการ กินเนื้อหมูอย่างชัดเจน ชาวคริสเตียนบางคนอ้างว่าปัจจุบันพวกเขาเป็นชาวคริสเตียน มิใช่ยิวอีกต่อไปแล้ว แต่เราขอถาม ว่าทำไมพวกเขาถิงปฏิบัติบัญญัติสิบประการอย่างเคร่งครัด และทำไมคัมภีร์ไบเบิลเก่า และใหม่จึงถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งซึ่งเรียกกันว่าคัมภีร์ไบเบิลนอกจากนั้นแล้วคำอบรมสั่งสอน ขั้นพื้นฐานของนักบวชชาวคริสต์ก็วางพื้นฐานอยู่บนคัมภีร์ไบเบิลเก่าด้วย

ทำไมอิสลามจึงไม่ทานหมู?
คนทั่วไปมักจะสงสัยว่า "ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?" และมักจะเข้าใจว่า เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้นที่มีบทบัญญัติทางศาสนาห้ามกินหมู ทั้ง ๆ ที่ศาสนาคริสต์ ก็มีบทบัญญัติห้ามคนคริสเตียนกินเช่นกันและห้ามมาก่อนสมัยศาสดามุฮัมมัด เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ยักมีใครถามว่า
"ทำไมคัมภีร์ไบเบิลจึงห้ามกินหมู่ ?"
เมื่อบทบัญญัติห้ามกินหมูถูกประทานให้แก่มุสลิมในยุคต้น ๆ ผู้คนในยุคนั้น ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงห้ามเพราะผู้ศรัทธาในพระเจ้ายุคนั้นรู้แต่ เพียงว่าเขาเป็นมุสลิม และมุสลิมคือผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อคำสั่งของพระเจ้าโดย สิ้นเชิงดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาสิ่งใดพวกเขาก็ปฏิบัติตาม โดยไม่มีการตั้งคำ ถามว่า "ทำไม?" เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลและทรงมีเจตนาดีต่อ พวกเขา แต่เหตุผลของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าทีสติปัญญาของพวกเขาแต่เหตุผล ของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าที่สติปัญญาของพวกเขาจะหยั่งรู้ได้ ดังนั้น การปฏิบัติ ตามด้วยความศรัทธาเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขาก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับการเป็นมุสลิม
แต่เมื่อโลกวิวัฒนาการขึ้น การปฏิบัติตามศาสนาด้วยความศรัทธาทางจิตใจ เพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับมนุษย์ผู้มีวิวัฒนาการทางสติ ปัญญา มนุษย์ต้องการจะรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งของพระเจ้าเพื่อประกอบกับ ความศรัทธาของเขา ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางสติปัญญาของมนุษย์ พระองค์จึงได้ประทานความรู้ความสามารถทางสติปัญญให้แก่มนุษย์เพื่อใช้ค้นคว้า หาคำตอบและเหตุผลด้วยสติปัญญาของเขาเอง
เพื่อที่จะปฏิบัติตามคำสอนของอิสลามในเรื่องนี้ มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่ พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติและงดเว้นในสิ่งที่พระองค์ห้ามทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับความสะอาด บริสุทธิ์ทั้งทางด้านจิตวิญญาณและธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์
การละเว้นจากการกินเนิ้อหมูในอิสลามมีเหตุผลหลายประการทั้งจากทัศนะของ ศาสนาและทัศนะทางวิทยาศาสตร์
การรักษาอนามัยและการแสงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ การละเว้นจากการกินเนื้อหมูเป็นขั้นตอนหนึ่งซึ่งอิสลามกำหนดไว้เพื่อเป็นการ รักษาสุขภาพอนามัย และการได้รับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2541 โดยมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ การดำเนินการด้านต่าง ได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ด้วยความมั่นคงและมีคุณภาพ จวบจนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พิธีเปิดศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร และพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษา 2545 ยังความปลื้มปิติสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ปณิธาน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นแหล่งสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่จะ"สร้างคน สร้างความรู้ สร้างคุณภาพ"อนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาสด้วยการให้การศึกษาระดับสูงเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพแสวงหาองค์ความรู้ใหม่เพื่อพัฒนาบ้านเมืองและธำรงไว้ซึ่งประเพณีและศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติพันธุ์ต่างๆในภาคเหนือและ ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนวิสัยทัศน์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดกลางที่มีคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในระดับสากล มีความเป็นเลิศในศิลปะและวิทยาการสาขาต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งผลิตและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งเป็นแหล่งสร้างสมและพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ควบคู่กันไปกับการนำองค์ความรู้ในมหาวิทยาลัยออกไปสู่การประยุกต์ใช้ในสังคมและภาคอุตสาหกรรมของประเทศในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นการศึกษาและพัฒนาศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ภารกิจ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พุทธศักราช 2541 มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีพันธกิจหลักที่สำคัญของความเป็นสถาบันอุดมศึกษา 4 ประการ คือ 1. การผลิตบัณฑิต2. การวิจัย3. การบริการวิชาการแก่สังคม4. การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


การเตรียมงานเริ่มตั้งแต่การปรับทัศนียภาพ และการอำนวยความสะดวกทางรถยนต์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม และนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะหลั่งไหลมาอย่างคึกคัก
ระหว่างนี้หากใครเดินทางผ่านบนเส้นทางชะอำ
หัวหินไม่ต้องแปลกใจว่าจะมีทางเบี่ยงตลอดทาง เพื่อซ่อมแซมถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อให้เรียบร้อย พร้อมกับปรับปรุงภูมิทัศน์สถานีรถไฟ หัวหิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ ทางสถาปัตยกรรมที่งดงามอันคลาสสิคของเมืองหัวหิน
ขณะเดียวกันทัศนียภาพต้องสร้างความสบายตา ให้กับผู้ร่วมประชุมที่เดินทางมายังหัวหิน เพื่อเก็บประทับใจกลับไป ดังนั้นจึงต้องมีการกวาดล้างป้ายโฆษณา บอกแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม ที่ไร้ระเบียบออก เพื่อความสวยงามงามของภูมิทัศน์ระหว่างทางก่อนถึงสถานที่การประชุมแห่งนี้
ถนนเพชรเกษมจึงถูกล้าง และแปลงโฉมใหม่ให้มีความสะอาดตา เปลี่ยนถังขยะใบใหม่ ชาวบ้านผู้ประกอบการการ ที่เป็นเจ้าของอาคาคร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ก็ถูกจัดระเบียบใหม่ให้มีความสบายตาต่อผู้มาเยือน
บรรยากาศในเมืองขณะนี้ล้วนอบอวบไปด้วยความธงอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และความเป็นอาเซียนกำลังถูกสอดแทรกเข้าไปให้ประชาชนและชาวบ้านในเวลานั้นได้รับรู้
หัวหิน และชะอำ จึงเต็มไปด้วย การจัดป้ายและธงชาติต่างๆ เพื่อต้อนรับผู้นำประเทศอาเซียน พร้อมกับเตรียมรักษาความปลอดภัยด้วยการเตรียมรถดับเพลิงพร้อมเจ้าหน้าที่
ส่วนนักศึกษาและนักเรียนในท้องถิ่นก็เตรียมฝึกความรู้ด้านภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสารและให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมงานได้อย่างประทับใจ รวมถึงคนท้องถิ่นเอง ที่หาเช้ากินค่ำ ก็ได้รับรู้ควารู้สึกถึงความภูมิใจต่อการเป็นเจ้าภาพจัดงานการประชุมในครั้งนี้ โดยจัดประชาสัมพันธ์ให้เข้ามามีส่วนร่วมผ่านทางสื่อโฆษณาต่างๆ อาทิเสียงตามสาย สปอตวิทยุ แผ่นพับ เป็นต้น
โรงแรมหลักๆ ที่เป็นแหล่งศูนย์กลางถูกใช้ในการจัดงานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน คือ โรงแรมดุสิตธานี
หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ สำหรับจัดเป็นพิธีเปิดงานประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 14 อย่างเป็นทางการ ในห้องนภาลัย บอลรูม A และB รองรับปริมาณผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน โดยมีห้องสำหรับจัดการประชุม และรับประทานอาหารที่ห้องเบญจรงค์
สำหรับสถานที่เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางรองรับกองทัพนักข่าวทั้งในประเทศ อาเซียน และจากสำนักข่าวทั่วทุกมุมโลก อาทิ เอเอฟพี ,เอพี จะถูกใช้ เชอราตัน
หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา อยู่ห่าง จากดุสิตธานีเพียง 5 นาที พร้อมปรับเป็นศูนย์ข่าว ที่ให้บริการด้านงานข่าว ทั้งเอกสาร คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไวร์เลส และห้องแถลงข่าวสำหรับผู้นำ และมีการเตรียมพร้อมสำหรับรถชัตเตอร์บัส ให้บริการรับส่งทุกๆ 15 นาที
ทั้งนี้ผู้นำอาเซียนและคณะภริยา ยังมีวาระเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชวังไกลกังวล จากนั้นมีการรับประทานอาหารค่ำ วันที่ 28 กุมพาพันธ์ ที่ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระราชวังแห่งความรักและความหวัง ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้จัดสร้างเมื่อ พ.ศ. 2466 ใน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
เอกชนและภาครัฐ รวมถึงประชาชนในทั้งสองเมืองให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพราะเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนและได้ประโยชน์อย่างมากมายต่อเมืองหัวหิน และชะอำ เพราะข้อตกลงอาเซียนครั้งนี้ เป็นการลดและยกเลิกภาษีระหว่างสมาชิกทำให้สินค้าถูกลงมีทางเลือกสินค้าที่หลากลาย และการจัดงาน โดยทำให้หัวหิน และชะอำ ผ่านสื่อไปทั่วโลก จึงมีคนรู้จักหัวหินและชะอำ ในระดับโลกมากขึ้น และดึงดูดให้นักท่องเที่ยเข้ามาในท้องถิ่น ก่อเกิดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจชุมชน
ความรู้สึกภาคภูมิใจของนักธุรกิจในพื้นที่ อย่างว่าที่โทร้อยโท จิตร ศิรธรานนท์ รองเลขาธิการสภาหอการค้าไทย นักธุรกิจในจังหวัดเพชรบุรี เล่าให้ฟังว่า เป็นโอกาสที่ธุรกิจในท้องถิ่นจะคึกคักขึ้นมาและดึงดูดนักท่องเที่ยว หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจมีผลทำให้คนมาท่องเที่ยวบางตาและซบเซา ราคาห้องพักทุกระดับ ตั้งแต่ห้องธรรมดา จนถึงห้องชุด ลดลงมากว่า 50% บางแห่งลดราคาจาก 8,000 บาท เหลือ 2,000 บาท เพื่อดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยว
ทว่าการประชุมอาเซียน จะปลุกหัวหิน และชะอำ ให้กลับมาดึงดูดนักท่องเที่ยวฟื้นอีกครั้ง มีคนจองห้องพักในช่วงวันจัดงานเข้ามามากขึ้น ทั้งผู้เข้าร่วมการประชุม และนักข่าวจากทั่วโลก ผู้ที่มาท่องเที่ยวของการจัดงาน แม้ไม่สามารถหาห้องพักได้ในราคาที่ต่ำเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่ราคาก็อยู่ในระดับที่ปรับมาแบบที่ไม่สูงเกินไปนัก
บรรดาร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชน ต่างเตรียมตัวคึกคัก ผลิตของฝากของที่ระลึก เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เลือกซื้อ เลือกชม เพื่อสร้างความประทับใจระดับห้าดาวให้ผู้นำอาเซียน
และหวังว่า หลังงาน
อาเซียนซัมมิท เมืองหัวหิน และชะอำ จะกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวไทยที่นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักมากมากขึ้น

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย ในอดีตนายอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร 6 สมัย และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (สคศ.) , สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป) และสำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สกถ.)
นายอภิสิทธิ์ เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นนักการเมืองที่มีบุคลิกหน้าตาดี ได้รับสมญานาม จากสื่อมวลชนว่า "หล่อใหญ่" ซึ่งตั้งให้เข้าชุดกันกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อเล็ก" และ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นเจ้าของสมญานาม "หล่อโย่ง" เป็นต้น
หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้ง เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.มากที่สุด และ นายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคเดียวในสภาผู้แทนราษฎร นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเงาตามรูปแบบ คณะรัฐมนตรีเงาที่มีในระบบเวสต์มินสเตอร์ของอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดยประกาศวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนะและติดตามตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล

ประวัติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีชื่อเล่นว่า "มาร์ค" เกิดวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 ที่ เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ บุตรชายคนเดียว ในจำนวนบุตร 3 คน ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ มีพี่สาว คือ ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและ น.ส.งามพรรณ เวชชาชีวะ เจ้าของงานเขียน "ความสุขของกะทิ" รางวัลซีไรท์ ประจำปี พ.ศ. 2549
เมื่อ ด.ช.อภิสิทธิ์ มีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะได้เดินทางกลับประเทศไทย ด.ช.อภิสิทธิ์ ได้เข้าเรียนระดับอนุบาลที่ โรงเรียนอนุบาลยุคลธรระดับประถมที่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นได้ย้ายกลับประเทศอังกฤษเพื่อเข้าเรียนที่ โรงเรียนสเกทคลิฟ และเรียนต่อที่ โรงเรียนมัธยมอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเอกชน ระดับเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ กรุงลอนดอน ได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชา ปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ (Philosophy, Politics and Economics, P.P.E.) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
หลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี นายอภิสิทธิ์ได้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเขาชะโงก จังหวัดนครนายก เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ได้รับพระราชทานยศร้อยตรี ก่อนจะลาออกจากราชการกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ได้กลับมาเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจนสำเร็จปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย
ต้นปี พ.ศ. 2549 นายอภิสิทธิ์ได้รับปริญญา นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สื่อมวลชนจึงเรียกนายอภิสิทธิ์ว่า "ดร.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในบางครั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ (มะปราง) และ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ปัณ)
ประวัติการทำงาน
พ.ศ. 2530 - 2531 อาจารย์ประจำ (ยศร้อยตรี) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เขาชะโงก จังหวัดนครนายก
พ.ศ. 2532 อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. 2533 - 2534 อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
ประวัติทางการเมือง
การดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เริ่มต้นชีวิตการเมืองด้วยการเป็น อาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับ นายพิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย ช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทย ต่อมาได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ให้กับ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น และเป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของ พรรคประชาธิปัตย์ ในเขตกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ภาคกลาง ท่ามกลางกระแส "มหาจำลองฟีเวอร์" กับการเป็นนักการเมือง "หน้าใหม่" ที่เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
สามารถลำดับการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ได้ดังนี้
พ.ศ. 2535
ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 6 (สาทร ยานนาวา บางคอแหลม) 2 สมัย (2535/1 และ 2535/2)
ได้รับการแต่งตั้งเป็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2535-2537)
พ.ศ. 2537 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (รองนายกฯ ศุภชัย พานิชภักดิ์)
พ.ศ. 2538 ส.ส. เขต 5 (ดินแดง ห้วยขวาง พระโขนง คลองตัน)
ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2538-2539)
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2538-2540)
พ.ศ. 2539 ส.ส. เขต 5 (ดินแดง ห้วยขวาง พระโขนง คลองตัน)
พ.ศ. 2540 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกฯ ชวน หลีกภัย พ.ศ. 2540-2544)
กำกับดูแล สนง.คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
กำกับดูแล สนง.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
กำกับดูแล สนง.คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
กำกับดูแล สนง.คณะกรรมการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. 2541 ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
พ.ศ. 2542 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2542-2548)
พ.ศ. 2544 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2544-2548)
พ.ศ. 2548 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2548-2549)
ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2548 - ปัจจุบัน)
ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (28 เมษายน พ.ศ. 2548)
พ.ศ. 2551 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551)
พ.ศ. 2551 ได้รับการลงคะแนนเสียงจากสภาฯ ให้เป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2551)